กลยุทธ์ Trend Following คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่

※記事内に広告を含む場合があります。
目次

1. การลงทุนตามเทรนด์ (Trend Following) คืออะไร

การลงทุนตามเทรนด์ (Trend Following) คือกลยุทธ์การลงทุนที่อิงกับการเคลื่อนไหว (เทรนด์) ของตลาด เป็นเทคนิคที่เทรดเดอร์จำนวนมากนิยมใช้ในตลาด Forex และตลาดหุ้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิธีที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ด้วยการถือครองตำแหน่งไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่เทรนด์ยังคงดำเนินต่อไป เพื่อแสวงหาผลกำไร ดังนั้น เมื่อเป็นขาขึ้นจะทำการซื้อ และเมื่อเป็นขาลงจะทำการขาย ในที่นี้จะอธิบายแนวคิดพื้นฐานและลักษณะของการลงทุนตามเทรนด์

แนวคิดพื้นฐานของการลงทุนตามเทรนด์

การลงทุนตามเทรนด์ (Trend Following) ตามชื่อภาษาอังกฤษคือเทคนิคที่เน้นการติดตาม (Follow) เทรนด์เป็นพิเศษ เป้าหมายหลักของวิธีนี้คือการทำกำไรตามทิศทางของตลาดในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียว นั่นคือจะทำการ **”ซื้อ”** เมื่อตลาดมีแนวโน้มขาขึ้น และทำการ **”ขาย”** เมื่อตลาดมีแนวโน้มขาลง กลยุทธ์ที่เรียบง่ายนี้เป็นพื้นฐาน และประสิทธิภาพของการลงทุนตามเทรนด์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้

  1. ความแข็งแกร่งของเทรนด์
    หากเทรนด์แข็งแกร่งและดำเนินไปเป็นเวลานาน มีโอกาสสูงที่จะทำกำไรได้มาก ตัวอย่างเช่น ในตลาด Forex หรือตลาดหุ้น บางครั้งอาจเกิดเทรนด์ที่ยาวนานเนื่องจากการประกาศดัชนีทางเศรษฐกิจหรือผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งนี้จะช่วยให้กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น
  2. ระยะเวลาของเทรนด์
    โดยทั่วไป ยิ่งเทรนด์ดำเนินไปนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งง่ายต่อการติดตามและมีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในตลาดแบบ Sideways (ช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด) จะทำให้เทรนด์ไม่ชัดเจนและต้องเข้าและออกบ่อยครั้ง ทำให้มีโอกาสขาดทุนได้ง่ายขึ้น นี่เป็นข้อควรพิจารณาที่สำคัญในกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์

แนวคิดพื้นฐานของกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์

สิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจการลงทุนตามเทรนด์คือแนวคิดของ **”การลงทุนตามทิศทางเทรนด์ (顺張り)”** การลงทุนตามทิศทางเทรนด์ หมายถึงสไตล์การเทรดตามทิศทางปัจจุบันของตลาด ตัวอย่างเช่น ในช่วงขาขึ้น เป้าหมายคือการ **”ซื้อ”** และทำกำไรไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่ตลาดยังคงขึ้น วิธีนี้แตกต่างจาก **”การลงทุนสวนทางเทรนด์ (逆張り)”** และถือว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าเนื่องจากใช้โมเมนตัมของตลาด

นอกจากนี้ ในการใช้กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ โดยทั่วไปจะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อระบุทิศทางของเทรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะใช้ตัวชี้วัด เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average), Bollinger Bands และ MACD เพื่อตัดสินความแข็งแกร่งของเทรนด์และจังหวะการกลับตัว

เหตุผลที่การลงทุนตามเทรนด์ได้รับความนิยม

การลงทุนตามเทรนด์ได้รับความนิยมในหมู่เทรดเดอร์มือใหม่และมืออาชีพ เพราะเป็นวิธีที่เรียบง่ายและเข้าใจง่าย ทั้งยังมีโอกาสทำกำไรก้อนใหญ่เมื่อเกิดเทรนด์ที่ยาวนาน นอกจากนี้ การลงทุนตามเทรนด์ยังต้องอาศัยความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อจิตวิทยาของตลาดและการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ นอกเหนือจากการเพียงแค่ตามทิศทางของเทรนด์ ซึ่งความยืดหยุ่นนี้ก็เป็นหนึ่งในเสน่ห์ของการลงทุนตามเทรนด์เช่นกัน

2. ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์

กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมและมีการใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่เทรดเดอร์มือใหม่จนถึงผู้มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม ทุกกลยุทธ์ย่อมมีข้อดีและข้อเสีย เพื่อทำความเข้าใจลักษณะของการลงทุนตามเทรนด์และหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง ลองมาจัดระเบียบข้อดีและข้อเสียกัน

ข้อดีของกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์

  1. เรียบง่ายและเข้าใจง่าย
    การลงทุนตามเทรนด์เป็นเทคนิคที่เรียบง่ายคือ “เทรดตามเทรนด์” ซึ่งทำให้มือใหม่เข้าใจและนำไปใช้ได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพียงแค่ทำการ **”ซื้อ”** เมื่อยืนยันขาขึ้น และทำการ **”ขาย”** เมื่อยืนยันขาลง ซึ่งเป็นการดำเนินการที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้ที่เริ่มต้นเทรดเป็นครั้งแรก
  2. ทำกำไรได้มากเมื่อเทรนด์ดำเนินไปเป็นเวลานาน
    เสน่ห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการลงทุนตามเทรนด์คือความเป็นไปได้ที่จะทำกำไรก้อนใหญ่ตราบใดที่เทรนด์ยังคงดำเนินต่อไป ตัวอย่างเช่น ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ตลาด Forex หรือตลาดหุ้น ข่าวเศรษฐกิจหรือการประกาศดัชนีอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเทรนด์ที่กินเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ หรือบางครั้งอาจนานถึงหลายเดือน การเข้าตามเทรนด์ได้อย่างถูกต้องจะสามารถเพิ่มผลตอบแทนได้สูงสุด
  3. เหมาะสำหรับการเทรดแบบอัตโนมัติ (System Trade)
    การลงทุนตามเทรนด์ยังเหมาะสำหรับการเทรดแบบอัตโนมัติ (Automated Trading) ด้วย ทำให้เทรดเดอร์จำนวนมากใช้การเทรดแบบอัตโนมัติเป็นหลัก สามารถเขียนโปรแกรมเพื่อตรวจจับการเกิดเทรนด์และทำการซื้อขายโดยอัตโนมัติได้เพียงแค่ตั้งค่าตัวชี้วัด เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และ MACD ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์ที่มีเวลาน้อยหรือผู้ที่มักตัดสินใจตามอารมณ์

ข้อเสียของกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์

  1. มีโอกาสขาดทุนได้ง่ายเมื่อเทรนด์กลับตัว
    การลงทุนตามเทรนด์มีความเสี่ยงที่จะเกิดการขาดทุนเมื่อเทรนด์กลับตัว เมื่อเทรนด์ดำเนินไปเป็นเวลานาน มีแนวโน้มที่จะถือครองตำแหน่งต่อไปอย่างมั่นใจ แต่เมื่อตลาดเริ่มเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนก้อนใหญ่ได้ จึงต้องระมัดระวัง
  2. อ่อนแอต่อตลาดแบบ Sideways
    การลงทุนตามเทรนด์เป็นเทคนิคที่แข็งแกร่งในตลาดที่มีเทรนด์ แต่ไม่เป็นที่น่าพอใจในตลาดแบบ Sideways (ช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด) เนื่องจากเทรนด์ไม่ชัดเจนในตลาดแบบ Sideways กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์จึงใช้งานได้ยากและมีแนวโน้มที่จะต้องเข้าและออกบ่อยครั้ง ส่งผลให้ต้นทุนจาก Spread และค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น
  3. บางครั้งอาจมีภาระทางจิตใจ
    กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์กำหนดให้ต้องถือครองตำแหน่งต่อไปตราบเท่าที่เทรนด์ยังคงดำเนินอยู่ แม้ว่ากำไรจะสะสมเพิ่มขึ้น ก็ยังต้องคงตำแหน่งไว้ ซึ่งทำให้เทรดเดอร์เผชิญกับความขัดแย้งว่าจะ “ปิดทำกำไรเมื่อไหร่” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีกำไรสะสมอยู่มาก มักจะเกิดความต้องการทางจิตใจที่จะต้องการทำกำไรแต่เนิ่น ๆ ซึ่งภาระทางจิตใจนี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินกลยุทธ์ได้

3. ตัวชี้วัดทางเทคนิคที่มีประโยชน์สำหรับการลงทุนตามเทรนด์

เพื่อให้การลงทุนตามเทรนด์ประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจเทรนด์ของตลาดอย่างถูกต้องและมองหาจังหวะการเข้าและออกที่เหมาะสม ตัวชี้วัดทางเทคนิคที่มักใช้ในการลงทุนตามเทรนด์ ได้แก่ Moving Average, MACD และ Bollinger Bands ตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยในการตัดสินทิศทางและความแข็งแกร่งของเทรนด์ ด้านล่างนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับบทบาทและวิธีการใช้ตัวชี้วัดแต่ละตัว

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average, MA)

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นตัวชี้วัดทางเทคนิคที่เป็นพื้นฐานของการลงทุนตามเทรนด์ และเทรดเดอร์จำนวนมากนิยมใช้ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะใช้ค่าเฉลี่ยของราคาในอดีตเพื่อแสดงทิศทางของเทรนด์ในเชิงภาพ

  • เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดา (SMA): คำนวณค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาที่กำหนดและแสดงทิศทางของเทรนด์ ตัวอย่างเช่น SMA 20 วัน และ SMA 200 วัน มักมีประโยชน์ในการตัดสินเทรนด์ระยะสั้นและระยะยาว
  • เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA): ให้น้ำหนักกับราคาล่าสุดและสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของราคาได้อย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปจะใช้ EMA 20, EMA 50 และ EMA 200 ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งกับเทรนด์ระยะสั้นและระยะยาว

การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่คือการดู **”Golden Cross”** และ **”Dead Cross”** ซึ่งเป็นการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นและระยะยาว โดยถือเป็นสัญญาณของการกลับตัวของเทรนด์ Golden Cross บ่งชี้การกลับตัวเป็นเทรนด์ขาขึ้น และ Dead Cross บ่งชี้การกลับตัวเป็นเทรนด์ขาลง

MACD (Moving Average Convergence Divergence)

MACD เป็นตัวชี้วัดที่ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นพื้นฐานเพื่อแสดงทิศทางและการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ สามารถมองหาจังหวะการเข้าและออกได้โดยดูที่จุดที่เส้น MACD และเส้น Signal ตัดกัน หรือดูความสัมพันธ์กับเส้นศูนย์

  • เส้น MACD และเส้น Signal: เมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal จะถือเป็นสัญญาณ **”ซื้อ”** และเมื่อตัดลงใต้เส้น Signal จะถือเป็นสัญญาณ **”ขาย”**
  • ตำแหน่งเมื่อเทียบกับเส้นศูนย์: เมื่ออยู่เหนือเส้นศูนย์ แสดงว่าเทรนด์ขาขึ้นแข็งแกร่ง และเมื่ออยู่ใต้เส้นศูนย์ แสดงว่าเทรนด์ขาลงแข็งแกร่ง

MACD เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการยืนยันความแข็งแกร่งและการเปลี่ยนแปลงทิศทางของเทรนด์ และมีประโยชน์อย่างยิ่งในการลงทุนตามเทรนด์ระยะกลางและระยะยาว

Bollinger Bands

Bollinger Bands เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดว่าราคาอยู่ห่างจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แค่ไหน และใช้ในการตัดสินความแข็งแกร่งของเทรนด์และความผันผวน (Volatilty) ประกอบด้วย 3 เส้น (เส้นบน, เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (กลาง) และเส้นล่าง) เมื่อราคาทะลุเส้นบนจะบ่งชี้การเกิดเทรนด์ขาขึ้น และเมื่อราคาทะลุเส้นล่างจะบ่งชี้การเกิดเทรนด์ขาลง

  • การขยายและหดตัวของ Bands: เมื่อความผันผวนเพิ่มขึ้น Bands จะขยายออก และคาดว่าเทรนด์จะดำเนินต่อไป ในทางกลับกัน หาก Bands หดตัว แสดงว่าอาจเปลี่ยนเป็นตลาดแบบ Sideways
  • Breakout: เมื่อราคาทะลุ Bands จะถือเป็นสัญญาณการเข้าซื้อขาย เพราะเป็นไปได้ว่าเทรนด์ใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต (Elliott Wave Theory)

ทฤษฎีคลื่นเอลเลียตเป็นการเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาดกับ “คลื่น” และเชื่อว่ามีการทำซ้ำในรูปแบบที่กำหนด ในการลงทุนตามเทรนด์ สามารถใช้คลื่นเอลเลียตเพื่อดูสัญญาณการกลับตัวและการดำเนินต่อไปของเทรนด์

  • โครงสร้าง 5 คลื่นในขาขึ้น/ขาลง: ในเทรนด์ขาขึ้นจะเห็นโครงสร้าง 5 คลื่นคือ “คลื่น 1, คลื่น 2, คลื่น 3, คลื่น 4, คลื่น 5” หลังจากนั้นจะกลับตัวเป็นเทรนด์ขาลง ในเทรนด์ขาลงก็เช่นกัน จะประกอบด้วย 5 คลื่น
  • จุดเข้าและออก: สามารถตัดสินจังหวะการเข้าและออกได้โดยการคาดการณ์จุดสิ้นสุดของเทรนด์จากการดูความคืบหน้าของคลื่น

เส้นแนวโน้ม (Trend Line)

เส้นแนวโน้มคือเส้นที่ลากเชื่อมจุดต่ำสุดหรือสูงสุดของราคา และใช้ในการยืนยันทิศทางของเทรนด์และจุดกลับตัวในเชิงภาพ ในเทรนด์ขาขึ้น เส้นที่ลากเชื่อมจุดต่ำสุด (เส้นแนวโน้มขาขึ้น) จะทำหน้าที่เป็นแนวรับ และในเทรนด์ขาลง เส้นที่ลากเชื่อมจุดสูงสุด (เส้นแนวโน้มขาลง) จะทำหน้าที่เป็นแนวต้าน

  • การใช้เป็นแนวรับ/แนวต้าน: เมื่อเส้นแนวโน้มทำหน้าที่เป็นแนวรับ หากราคาเข้าใกล้เส้นนั้น จะถือเป็นสัญญาณ “ซื้อ” ในทางกลับกัน เมื่อราคาถึงเส้นแนวต้าน มักจะเป็นสัญญาณ “ขาย”

เมื่อใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้ร่วมกัน จะสามารถเข้าใจความแข็งแกร่งและทิศทางของเทรนด์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ได้สูงสุด

4. การปฏิบัติจริงของเทคนิคการลงทุนตามเทรนด์

ในที่นี้จะอธิบายวิธีการเข้าและออกที่ใช้จริงตามกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ การทำความเข้าใจเทรนด์อย่างถูกต้องและทำการซื้อขายในจังหวะที่เหมาะสมจะนำไปสู่การเพิ่มผลกำไรสูงสุด ในส่วนนี้จะอธิบายกลยุทธ์พื้นฐานของการลงทุนตามเทรนด์คือ **”การซื้อเมื่อย่อ (押し目買い)”** และ **”การขายเมื่อดีด (戻り売り)”** รวมถึงจังหวะการเข้าและออกที่เฉพาะเจาะจงโดยใช้ตัวชี้วัด

การซื้อเมื่อย่อและขายเมื่อดีด

การซื้อเมื่อย่อและการขายเมื่อดีดเป็นเทคนิคการเข้าซื้อขายพื้นฐานของการลงทุนตามเทรนด์ เทคนิคนี้จะเข้าซื้อขายตามเทรนด์เมื่อราคาย้อนกลับไปชั่วคราว จึงเป็นกลยุทธ์ที่เทรดเดอร์จำนวนมากใช้เพื่อลดความเสี่ยงพร้อมทั้งมุ่งหวังผลกำไร

  • การซื้อเมื่อย่อ (押し目買い): ทำการ **”ซื้อ”** ที่จุดที่ราคาลดลงชั่วคราวในระหว่างเทรนด์ขาขึ้น (จุดย่อ) วิธีนี้จะเข้าซื้อขายโดยคาดการณ์ว่าเทรนด์ขาขึ้นจะยังคงดำเนินต่อไป จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเข้าในจังหวะที่ยืนยันขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จุดซื้อเมื่อย่อคือบริเวณแนวรับของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หรือเส้นแนวโน้ม
  • การขายเมื่อดีด (戻り売り): ทำการ **”ขาย”** ที่จุดที่ราคาเพิ่มขึ้นชั่วคราวในระหว่างเทรนด์ขาลง (จุดดีด) โดยเข้าซื้อขายโดยคาดการณ์ว่าเทรนด์ขาลงจะยังคงดำเนินต่อไป จุดขายเมื่อดีดคือบริเวณแนวต้านของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หรือเส้นแนวโน้ม

จังหวะการเข้าซื้อขาย

ในกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ เงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการเข้าซื้อขายคือทิศทางของเทรนด์ต้องชัดเจน ด้านล่างนี้สรุปจังหวะการเข้าซื้อขายโดยใช้ตัวชี้วัดหลัก ๆ

  1. การตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
    Golden Cross (เส้นระยะสั้นตัดขึ้นเหนือเส้นระยะยาว) และ Dead Cross (เส้นระยะสั้นตัดลงใต้เส้นระยะยาว) ของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้การกลับตัวของเทรนด์ เมื่อเกิด Golden Cross ในเทรนด์ขาขึ้น ให้ทำการ **”ซื้อ”** และเมื่อเกิด Dead Cross ในเทรนด์ขาลง ให้ทำการ **”ขาย”**
  2. สัญญาณ MACD
    เมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal ถือเป็นจังหวะการเข้า **”ซื้อ”** เพราะบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของเทรนด์ขาขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อเส้น MACD ตัดลงใต้เส้น Signal ถือเป็นจังหวะการเข้า **”ขาย”** นอกจากนี้ ตำแหน่งเมื่อเทียบกับเส้นศูนย์ก็มีความสำคัญ โดยเหนือเส้นศูนย์หมายถึงเทรนด์ขาขึ้น และใต้เส้นศูนย์หมายถึงเทรนด์ขาลง
  3. Breakout ของ Bollinger Bands
    หากราคาทะลุขึ้นไปเหนือเส้นบนของ Bollinger Bands อาจเป็นสัญญาณการเริ่มต้นของเทรนด์ขาขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะการเข้าซื้อขาย ในทางกลับกัน หากราคาทะลุลงไปใต้เส้นล่าง อาจเป็นสัญญาณการเริ่มต้นของเทรนด์ขาลง จึงเข้า **”ขาย”**

จังหวะการออก (Exit)

การออก (การปิดตำแหน่ง) ก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์เช่นกัน จำเป็นต้องมองหาการกลับตัวหรือความอ่อนแอของเทรนด์ และทำกำไรในจังหวะที่เหมาะสม

  1. จุดที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตัดกัน
    ตรงกันข้ามกับจังหวะการเข้าซื้อขาย ตัวอย่างเช่น ในช่วงเทรนด์ขาขึ้น หากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นตัดลงใต้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว จะถือเป็นสัญญาณการออกเพราะเป็นไปได้ว่าเทรนด์สิ้นสุดลงแล้ว
  2. การกลับสัญญาณของ MACD
    หากเส้น MACD ตัดลงใต้เส้น Signal ถือว่าเทรนด์อ่อนแอลง และเป็นจังหวะการออกเพื่อทำกำไร ในทำนองเดียวกัน หาก MACD อยู่ต่ำกว่าเส้นศูนย์ ก็เป็นสัญญาณของเทรนด์ขาลงซึ่งเป็นจังหวะการทำกำไร
  3. การหดตัวของ Bollinger Bands (Squeeze)
    หาก Bollinger Bands หดตัว (แคบลง) แสดงว่าความผันผวนของตลาดลดลง และอาจเปลี่ยนเป็นตลาดแบบ Sideways ในสถานการณ์เช่นนี้ เทรนด์จะอ่อนแอลง จึงเป็นจังหวะที่ควรพิจารณาการออก

สามารถใช้เทคนิคเหล่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ให้ได้สูงสุด

5. เครื่องมือและตัวชี้วัดที่เป็นประโยชน์สำหรับการลงทุนตามเทรนด์

เพื่อให้กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ประสบความสำเร็จ เครื่องมือและตัวชี้วัดที่ใช้ในการระบุทิศทางและความแข็งแกร่งของเทรนด์อย่างถูกต้องนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ในที่นี้จะแนะนำตัวชี้วัดและเครื่องมือทั้งแบบฟรีและเสียเงินที่มีประโยชน์สำหรับการลงทุนตามเทรนด์โดยเฉพาะ พร้อมอธิบายคุณสมบัติและวิธีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพของแต่ละตัว

ตัวชี้วัดการลงทุนตามเทรนด์ที่ใช้งานได้ฟรี

  1. เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average, MA)
    เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นตัวชี้วัดที่เป็นพื้นฐานของการลงทุนตามเทรนด์ โดยเฉพาะ EMA 200 วัน และ SMA 20 วัน เป็นที่นิยมใช้กันมาก เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทำให้มองเห็นกระแสราคาได้ง่าย และมีประโยชน์ในการระบุความแข็งแกร่งของเทรนด์และจุดกลับตัว เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่เทรดเดอร์จำนวนมากใช้ มักจะมีอยู่ในแพลตฟอร์มการเทรด Forex และหุ้น ทำให้สามารถใช้งานได้ง่าย
  2. MACD (Moving Average Convergence Divergence)
    MACD เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการยืนยันทิศทางของเทรนด์และมองหาจังหวะที่เหมาะสม การตัดกันของเส้น MACD และเส้น Signal โดยใช้เส้นศูนย์เป็นพื้นฐานจะกลายเป็นสัญญาณการเข้าและออก ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อเทรนด์ระยะกลางถึงระยะยาว จึงเหมาะสำหรับตลาดที่มีความผันผวนรายวันสูงเช่นกัน
  3. Bollinger Bands
    Bollinger Bands เป็นตัวชี้วัดที่แสดงภาพความผันผวนของราคา และมีประโยชน์ในการระบุความแข็งแกร่งของเทรนด์และจังหวะที่เทรนด์กำลังจะเกิดขึ้น หากราคาทะลุเส้นบนหรือเส้นล่างของ Bollinger Bands ถือเป็นการเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่ และยังสามารถใช้เป็นจุดเข้าและออกได้อีกด้วย
  4. การนับคลื่นเอลเลียต (Elliott Wave Count)
    คลื่นเอลเลียตเป็นวิธีวิเคราะห์รูปร่างคลื่นที่เกิดขึ้นเมื่อเทรนด์กำลังเกิดขึ้น และมีประโยชน์ในการระบุจุดสำคัญของการลงทุนตามเทรนด์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในตลาด Forex คลื่นเอลเลียตถูกใช้เพื่อระบุเทรนด์ระยะยาว แต่ก็มีประโยชน์เป็นข้อมูลอ้างอิงในการตัดสินใจจังหวะการเข้าซื้อขายเช่นกัน

ตัวชี้วัดและเครื่องมือแบบเสียเงิน

  1. เครื่องมือ Order Book (เช่น OANDA Order Book)
    Order Book เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทำความเข้าใจสถานการณ์คำสั่งซื้อขายของตลาดแบบเรียลไทม์ และใช้ในการคาดการณ์การเกิดและการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามารถมองเห็นแนวโน้มการซื้อขายของเทรดเดอร์รายอื่นและจุดที่มีตำแหน่งการซื้อขายกระจุกตัว ซึ่งทำให้สามารถระบุสัญญาณเริ่มต้นของเทรนด์ใหญ่ได้ง่ายขึ้นและเข้ากันได้ดีกับกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์
OANDA FX/CFD Lab-education(オアンダ ラボ)

OANDAオーダーブックのウィジェットは、OANDAグループの顧客が保有する未決済注文 (つまり、未決済の指値/逆指値注…

ด้วยการใช้เครื่องมือนี้ สามารถเข้าใจทิศทางและความแข็งแกร่งของเทรนด์ได้อย่างถูกต้องและทำให้การเทรดมีประสิทธิภาพมากขึ้น

6. สรุปและคำแนะนำ

กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์เป็นวิธีที่เรียบง่ายแต่สามารถจับเทรนด์ใหญ่ของตลาดเพื่อมุ่งหวังผลกำไรที่มั่นคงได้ ซึ่งมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะเมื่อเทรนด์ดำเนินไปเป็นเวลานาน ทำให้เทรดเดอร์สามารถถือครองตำแหน่งตามทิศทางของตลาดได้ง่ายขึ้น จึงได้รับการสนับสนุนจากเทรดเดอร์จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การลงทุนตามเทรนด์ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมีข้อควรจำและทัศนคติบางอย่าง ในส่วนนี้จะสรุปคำแนะนำในการนำกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ไปใช้จริง

จุดสำคัญเพื่อให้กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ประสบความสำเร็จ

  1. ระบุความแข็งแกร่งและระยะเวลาของเทรนด์
    ในกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ สิ่งสำคัญคือการระบุว่าตลาดเข้าสู่เทรนด์จริงหรือไม่ เพื่อระบุเทรนด์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น ควรใช้ตัวชี้วัดเช่นเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่, Bollinger Bands และ MACD ร่วมกัน นอกจากนี้ การใช้คลื่นเอลเลียตและเส้นแนวโน้มก็สามารถช่วยระบุจุดกลับตัวของเทรนด์ได้
  2. ยึดกฎการเข้าและออกอย่างเคร่งครัด
    กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ต้องอาศัยความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อความแข็งแกร่งของเทรนด์ การยึดมั่นในกฎการเข้าและออกที่กำหนดไว้ล่วงหน้าก่อนการเทรดโดยไม่ตัดสินใจตามอารมณ์ จะช่วยให้สามารถทำกำไรและลดการขาดทุนได้ ตัวอย่างเช่น กำหนดกฎว่าจะออกเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เกิด Dead Cross หรือเมื่อสัญญาณ MACD กลับตัว และยึดมั่นในกฎนั้นอย่างเคร่งครัด
  3. ระวังตลาดแบบ Sideways
    การลงทุนตามเทรนด์เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตลาดที่มีเทรนด์ และควรระวังเพราะไม่ค่อยได้ผลในตลาดแบบ Sideways ในตลาดแบบ Sideways การเข้าและออกบ่อยครั้งอาจเพิ่มภาระค่าธรรมเนียมได้ ดังนั้น การแยกแยะระหว่างตลาดแบบ Sideways และตลาดที่มีเทรนด์จึงเป็นสิ่งสำคัญ หากเป็นตลาดแบบ Sideways ควรหยุดการลงทุนตามเทรนด์หรือเปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์ที่เน้นการทำ Breakout แทน
  4. อย่าใช้เครื่องมือและตัวชี้วัดมากเกินไป
    มีตัวชี้วัดและเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการลงทุนตามเทรนด์อยู่มากมาย แต่การใช้ตัวชี้วัดจำนวนมากพร้อมกันอาจทำให้การตัดสินใจซับซ้อนและทำให้พลาดจังหวะไปได้ ควรเน้นตัวชี้วัดพื้นฐาน เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่, Bollinger Bands และ MACD และยึดมั่นในกลยุทธ์ที่เรียบง่าย ควรใช้เครื่องมือที่เทรดเดอร์จำนวนมากเชื่อถือเพียงไม่กี่อย่าง และเทรดโดยไม่พึ่งพาเครื่องมือมากเกินไป
  5. รักษาเสถียรภาพทางจิตใจ
    กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ต้องอาศัยการถือครองตำแหน่งต่อไปในช่วงที่เทรนด์ดำเนินอยู่ มักจะเกิดความต้องการที่จะทำกำไรแต่เนิ่น ๆ เมื่อกำไรเพิ่มขึ้น หรือลังเลที่จะ Stop Loss เมื่อเทรนด์เริ่มกลับตัว ซึ่งอารมณ์เหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการเทรดได้ การยึดมั่นในกฎการเทรดจะช่วยให้สามารถเทรดได้โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์และรักษาเสถียรภาพทางจิตใจไว้ได้

เพียงเท่านี้ การอธิบายกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว ขอให้มุ่งหวังผลลัพธ์ที่มั่นคงด้วยการระบุเทรนด์ของตลาด ไม่ตัดสินใจตามอารมณ์ และใช้กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ

เว็บไซต์อ้างอิง

お名前.com デスクトップクラウド

自動売買システム の魅力と利点を徹底解説。 先物 、 株式 、 仮想通貨 、特に 外国為替(FX) 市場での活用方法や利…

OANDA FX/CFD Lab-education(オアンダ ラボ)

トレンドフォローとは、トレンド方向に沿ってトレードすることです。上昇トレンド中は買い、下落トレンド中は売りでトレードを行…

 

※記事内に広告を含む場合があります。
佐川 直弘: MetaTraderを活用したFX自動売買の開発で15年以上の経験を持つ日本のパイオニア🔧

トレーデンシー大会'15世界1位🥇、EA-1グランプリ準優勝🥈の実績を誇り、ラジオ日経出演経験もあり!
現在は、株式会社トリロジーの役員として活動中。
【財務省近畿財務局長(金商)第372号】に登録
され、厳しい審査を経た信頼性の高い投資助言者です。


【主な活動内容】
・高性能エキスパートアドバイザー(EA)の開発と提供
・最新トレーディング技術と市場分析の共有
・FX取引の効率化と利益最大化を目指すプロの戦略紹介

トレーダー向けに役立つ情報やヒントを発信中!

This website uses cookies.