- 1 1. การลงทุนตามเทรนด์ (Trend Following) คืออะไร
- 2 2. ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์
- 3 3. ตัวชี้วัดทางเทคนิคที่มีประโยชน์สำหรับการลงทุนตามเทรนด์
- 4 4. การปฏิบัติจริงของเทคนิคการลงทุนตามเทรนด์
- 5 5. เครื่องมือและตัวชี้วัดที่เป็นประโยชน์สำหรับการลงทุนตามเทรนด์
- 6 6. สรุปและคำแนะนำ
- 7 เว็บไซต์อ้างอิง
1. การลงทุนตามเทรนด์ (Trend Following) คืออะไร
การลงทุนตามเทรนด์ (Trend Following) คือกลยุทธ์การลงทุนที่อิงกับการเคลื่อนไหว (เทรนด์) ของตลาด เป็นเทคนิคที่เทรดเดอร์จำนวนมากนิยมใช้ในตลาด Forex และตลาดหุ้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิธีที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ด้วยการถือครองตำแหน่งไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่เทรนด์ยังคงดำเนินต่อไป เพื่อแสวงหาผลกำไร ดังนั้น เมื่อเป็นขาขึ้นจะทำการซื้อ และเมื่อเป็นขาลงจะทำการขาย ในที่นี้จะอธิบายแนวคิดพื้นฐานและลักษณะของการลงทุนตามเทรนด์
แนวคิดพื้นฐานของการลงทุนตามเทรนด์
การลงทุนตามเทรนด์ (Trend Following) ตามชื่อภาษาอังกฤษคือเทคนิคที่เน้นการติดตาม (Follow) เทรนด์เป็นพิเศษ เป้าหมายหลักของวิธีนี้คือการทำกำไรตามทิศทางของตลาดในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียว นั่นคือจะทำการ **”ซื้อ”** เมื่อตลาดมีแนวโน้มขาขึ้น และทำการ **”ขาย”** เมื่อตลาดมีแนวโน้มขาลง กลยุทธ์ที่เรียบง่ายนี้เป็นพื้นฐาน และประสิทธิภาพของการลงทุนตามเทรนด์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
- ความแข็งแกร่งของเทรนด์
หากเทรนด์แข็งแกร่งและดำเนินไปเป็นเวลานาน มีโอกาสสูงที่จะทำกำไรได้มาก ตัวอย่างเช่น ในตลาด Forex หรือตลาดหุ้น บางครั้งอาจเกิดเทรนด์ที่ยาวนานเนื่องจากการประกาศดัชนีทางเศรษฐกิจหรือผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งนี้จะช่วยให้กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น - ระยะเวลาของเทรนด์
โดยทั่วไป ยิ่งเทรนด์ดำเนินไปนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งง่ายต่อการติดตามและมีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในตลาดแบบ Sideways (ช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด) จะทำให้เทรนด์ไม่ชัดเจนและต้องเข้าและออกบ่อยครั้ง ทำให้มีโอกาสขาดทุนได้ง่ายขึ้น นี่เป็นข้อควรพิจารณาที่สำคัญในกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์
แนวคิดพื้นฐานของกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์
สิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจการลงทุนตามเทรนด์คือแนวคิดของ **”การลงทุนตามทิศทางเทรนด์ (顺張り)”** การลงทุนตามทิศทางเทรนด์ หมายถึงสไตล์การเทรดตามทิศทางปัจจุบันของตลาด ตัวอย่างเช่น ในช่วงขาขึ้น เป้าหมายคือการ **”ซื้อ”** และทำกำไรไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่ตลาดยังคงขึ้น วิธีนี้แตกต่างจาก **”การลงทุนสวนทางเทรนด์ (逆張り)”** และถือว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าเนื่องจากใช้โมเมนตัมของตลาด
นอกจากนี้ ในการใช้กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ โดยทั่วไปจะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อระบุทิศทางของเทรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะใช้ตัวชี้วัด เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average), Bollinger Bands และ MACD เพื่อตัดสินความแข็งแกร่งของเทรนด์และจังหวะการกลับตัว
เหตุผลที่การลงทุนตามเทรนด์ได้รับความนิยม
การลงทุนตามเทรนด์ได้รับความนิยมในหมู่เทรดเดอร์มือใหม่และมืออาชีพ เพราะเป็นวิธีที่เรียบง่ายและเข้าใจง่าย ทั้งยังมีโอกาสทำกำไรก้อนใหญ่เมื่อเกิดเทรนด์ที่ยาวนาน นอกจากนี้ การลงทุนตามเทรนด์ยังต้องอาศัยความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อจิตวิทยาของตลาดและการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ นอกเหนือจากการเพียงแค่ตามทิศทางของเทรนด์ ซึ่งความยืดหยุ่นนี้ก็เป็นหนึ่งในเสน่ห์ของการลงทุนตามเทรนด์เช่นกัน
2. ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์
กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมและมีการใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่เทรดเดอร์มือใหม่จนถึงผู้มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม ทุกกลยุทธ์ย่อมมีข้อดีและข้อเสีย เพื่อทำความเข้าใจลักษณะของการลงทุนตามเทรนด์และหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง ลองมาจัดระเบียบข้อดีและข้อเสียกัน
ข้อดีของกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์
- เรียบง่ายและเข้าใจง่าย
การลงทุนตามเทรนด์เป็นเทคนิคที่เรียบง่ายคือ “เทรดตามเทรนด์” ซึ่งทำให้มือใหม่เข้าใจและนำไปใช้ได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพียงแค่ทำการ **”ซื้อ”** เมื่อยืนยันขาขึ้น และทำการ **”ขาย”** เมื่อยืนยันขาลง ซึ่งเป็นการดำเนินการที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้ที่เริ่มต้นเทรดเป็นครั้งแรก - ทำกำไรได้มากเมื่อเทรนด์ดำเนินไปเป็นเวลานาน
เสน่ห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการลงทุนตามเทรนด์คือความเป็นไปได้ที่จะทำกำไรก้อนใหญ่ตราบใดที่เทรนด์ยังคงดำเนินต่อไป ตัวอย่างเช่น ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ตลาด Forex หรือตลาดหุ้น ข่าวเศรษฐกิจหรือการประกาศดัชนีอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเทรนด์ที่กินเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ หรือบางครั้งอาจนานถึงหลายเดือน การเข้าตามเทรนด์ได้อย่างถูกต้องจะสามารถเพิ่มผลตอบแทนได้สูงสุด - เหมาะสำหรับการเทรดแบบอัตโนมัติ (System Trade)
การลงทุนตามเทรนด์ยังเหมาะสำหรับการเทรดแบบอัตโนมัติ (Automated Trading) ด้วย ทำให้เทรดเดอร์จำนวนมากใช้การเทรดแบบอัตโนมัติเป็นหลัก สามารถเขียนโปรแกรมเพื่อตรวจจับการเกิดเทรนด์และทำการซื้อขายโดยอัตโนมัติได้เพียงแค่ตั้งค่าตัวชี้วัด เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และ MACD ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์ที่มีเวลาน้อยหรือผู้ที่มักตัดสินใจตามอารมณ์
ข้อเสียของกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์
- มีโอกาสขาดทุนได้ง่ายเมื่อเทรนด์กลับตัว
การลงทุนตามเทรนด์มีความเสี่ยงที่จะเกิดการขาดทุนเมื่อเทรนด์กลับตัว เมื่อเทรนด์ดำเนินไปเป็นเวลานาน มีแนวโน้มที่จะถือครองตำแหน่งต่อไปอย่างมั่นใจ แต่เมื่อตลาดเริ่มเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนก้อนใหญ่ได้ จึงต้องระมัดระวัง - อ่อนแอต่อตลาดแบบ Sideways
การลงทุนตามเทรนด์เป็นเทคนิคที่แข็งแกร่งในตลาดที่มีเทรนด์ แต่ไม่เป็นที่น่าพอใจในตลาดแบบ Sideways (ช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด) เนื่องจากเทรนด์ไม่ชัดเจนในตลาดแบบ Sideways กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์จึงใช้งานได้ยากและมีแนวโน้มที่จะต้องเข้าและออกบ่อยครั้ง ส่งผลให้ต้นทุนจาก Spread และค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น - บางครั้งอาจมีภาระทางจิตใจ
กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์กำหนดให้ต้องถือครองตำแหน่งต่อไปตราบเท่าที่เทรนด์ยังคงดำเนินอยู่ แม้ว่ากำไรจะสะสมเพิ่มขึ้น ก็ยังต้องคงตำแหน่งไว้ ซึ่งทำให้เทรดเดอร์เผชิญกับความขัดแย้งว่าจะ “ปิดทำกำไรเมื่อไหร่” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีกำไรสะสมอยู่มาก มักจะเกิดความต้องการทางจิตใจที่จะต้องการทำกำไรแต่เนิ่น ๆ ซึ่งภาระทางจิตใจนี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินกลยุทธ์ได้
3. ตัวชี้วัดทางเทคนิคที่มีประโยชน์สำหรับการลงทุนตามเทรนด์
เพื่อให้การลงทุนตามเทรนด์ประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจเทรนด์ของตลาดอย่างถูกต้องและมองหาจังหวะการเข้าและออกที่เหมาะสม ตัวชี้วัดทางเทคนิคที่มักใช้ในการลงทุนตามเทรนด์ ได้แก่ Moving Average, MACD และ Bollinger Bands ตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยในการตัดสินทิศทางและความแข็งแกร่งของเทรนด์ ด้านล่างนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับบทบาทและวิธีการใช้ตัวชี้วัดแต่ละตัว
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average, MA)
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นตัวชี้วัดทางเทคนิคที่เป็นพื้นฐานของการลงทุนตามเทรนด์ และเทรดเดอร์จำนวนมากนิยมใช้ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะใช้ค่าเฉลี่ยของราคาในอดีตเพื่อแสดงทิศทางของเทรนด์ในเชิงภาพ
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดา (SMA): คำนวณค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาที่กำหนดและแสดงทิศทางของเทรนด์ ตัวอย่างเช่น SMA 20 วัน และ SMA 200 วัน มักมีประโยชน์ในการตัดสินเทรนด์ระยะสั้นและระยะยาว
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA): ให้น้ำหนักกับราคาล่าสุดและสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของราคาได้อย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปจะใช้ EMA 20, EMA 50 และ EMA 200 ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งกับเทรนด์ระยะสั้นและระยะยาว
การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่คือการดู **”Golden Cross”** และ **”Dead Cross”** ซึ่งเป็นการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นและระยะยาว โดยถือเป็นสัญญาณของการกลับตัวของเทรนด์ Golden Cross บ่งชี้การกลับตัวเป็นเทรนด์ขาขึ้น และ Dead Cross บ่งชี้การกลับตัวเป็นเทรนด์ขาลง
MACD (Moving Average Convergence Divergence)
MACD เป็นตัวชี้วัดที่ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นพื้นฐานเพื่อแสดงทิศทางและการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ สามารถมองหาจังหวะการเข้าและออกได้โดยดูที่จุดที่เส้น MACD และเส้น Signal ตัดกัน หรือดูความสัมพันธ์กับเส้นศูนย์
- เส้น MACD และเส้น Signal: เมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal จะถือเป็นสัญญาณ **”ซื้อ”** และเมื่อตัดลงใต้เส้น Signal จะถือเป็นสัญญาณ **”ขาย”**
- ตำแหน่งเมื่อเทียบกับเส้นศูนย์: เมื่ออยู่เหนือเส้นศูนย์ แสดงว่าเทรนด์ขาขึ้นแข็งแกร่ง และเมื่ออยู่ใต้เส้นศูนย์ แสดงว่าเทรนด์ขาลงแข็งแกร่ง
MACD เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการยืนยันความแข็งแกร่งและการเปลี่ยนแปลงทิศทางของเทรนด์ และมีประโยชน์อย่างยิ่งในการลงทุนตามเทรนด์ระยะกลางและระยะยาว
Bollinger Bands
Bollinger Bands เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดว่าราคาอยู่ห่างจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แค่ไหน และใช้ในการตัดสินความแข็งแกร่งของเทรนด์และความผันผวน (Volatilty) ประกอบด้วย 3 เส้น (เส้นบน, เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (กลาง) และเส้นล่าง) เมื่อราคาทะลุเส้นบนจะบ่งชี้การเกิดเทรนด์ขาขึ้น และเมื่อราคาทะลุเส้นล่างจะบ่งชี้การเกิดเทรนด์ขาลง
- การขยายและหดตัวของ Bands: เมื่อความผันผวนเพิ่มขึ้น Bands จะขยายออก และคาดว่าเทรนด์จะดำเนินต่อไป ในทางกลับกัน หาก Bands หดตัว แสดงว่าอาจเปลี่ยนเป็นตลาดแบบ Sideways
- Breakout: เมื่อราคาทะลุ Bands จะถือเป็นสัญญาณการเข้าซื้อขาย เพราะเป็นไปได้ว่าเทรนด์ใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต (Elliott Wave Theory)
ทฤษฎีคลื่นเอลเลียตเป็นการเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาดกับ “คลื่น” และเชื่อว่ามีการทำซ้ำในรูปแบบที่กำหนด ในการลงทุนตามเทรนด์ สามารถใช้คลื่นเอลเลียตเพื่อดูสัญญาณการกลับตัวและการดำเนินต่อไปของเทรนด์
- โครงสร้าง 5 คลื่นในขาขึ้น/ขาลง: ในเทรนด์ขาขึ้นจะเห็นโครงสร้าง 5 คลื่นคือ “คลื่น 1, คลื่น 2, คลื่น 3, คลื่น 4, คลื่น 5” หลังจากนั้นจะกลับตัวเป็นเทรนด์ขาลง ในเทรนด์ขาลงก็เช่นกัน จะประกอบด้วย 5 คลื่น
- จุดเข้าและออก: สามารถตัดสินจังหวะการเข้าและออกได้โดยการคาดการณ์จุดสิ้นสุดของเทรนด์จากการดูความคืบหน้าของคลื่น
เส้นแนวโน้ม (Trend Line)
เส้นแนวโน้มคือเส้นที่ลากเชื่อมจุดต่ำสุดหรือสูงสุดของราคา และใช้ในการยืนยันทิศทางของเทรนด์และจุดกลับตัวในเชิงภาพ ในเทรนด์ขาขึ้น เส้นที่ลากเชื่อมจุดต่ำสุด (เส้นแนวโน้มขาขึ้น) จะทำหน้าที่เป็นแนวรับ และในเทรนด์ขาลง เส้นที่ลากเชื่อมจุดสูงสุด (เส้นแนวโน้มขาลง) จะทำหน้าที่เป็นแนวต้าน
- การใช้เป็นแนวรับ/แนวต้าน: เมื่อเส้นแนวโน้มทำหน้าที่เป็นแนวรับ หากราคาเข้าใกล้เส้นนั้น จะถือเป็นสัญญาณ “ซื้อ” ในทางกลับกัน เมื่อราคาถึงเส้นแนวต้าน มักจะเป็นสัญญาณ “ขาย”
เมื่อใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้ร่วมกัน จะสามารถเข้าใจความแข็งแกร่งและทิศทางของเทรนด์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ได้สูงสุด
4. การปฏิบัติจริงของเทคนิคการลงทุนตามเทรนด์
ในที่นี้จะอธิบายวิธีการเข้าและออกที่ใช้จริงตามกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ การทำความเข้าใจเทรนด์อย่างถูกต้องและทำการซื้อขายในจังหวะที่เหมาะสมจะนำไปสู่การเพิ่มผลกำไรสูงสุด ในส่วนนี้จะอธิบายกลยุทธ์พื้นฐานของการลงทุนตามเทรนด์คือ **”การซื้อเมื่อย่อ (押し目買い)”** และ **”การขายเมื่อดีด (戻り売り)”** รวมถึงจังหวะการเข้าและออกที่เฉพาะเจาะจงโดยใช้ตัวชี้วัด
การซื้อเมื่อย่อและขายเมื่อดีด
การซื้อเมื่อย่อและการขายเมื่อดีดเป็นเทคนิคการเข้าซื้อขายพื้นฐานของการลงทุนตามเทรนด์ เทคนิคนี้จะเข้าซื้อขายตามเทรนด์เมื่อราคาย้อนกลับไปชั่วคราว จึงเป็นกลยุทธ์ที่เทรดเดอร์จำนวนมากใช้เพื่อลดความเสี่ยงพร้อมทั้งมุ่งหวังผลกำไร
- การซื้อเมื่อย่อ (押し目買い): ทำการ **”ซื้อ”** ที่จุดที่ราคาลดลงชั่วคราวในระหว่างเทรนด์ขาขึ้น (จุดย่อ) วิธีนี้จะเข้าซื้อขายโดยคาดการณ์ว่าเทรนด์ขาขึ้นจะยังคงดำเนินต่อไป จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเข้าในจังหวะที่ยืนยันขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จุดซื้อเมื่อย่อคือบริเวณแนวรับของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หรือเส้นแนวโน้ม
- การขายเมื่อดีด (戻り売り): ทำการ **”ขาย”** ที่จุดที่ราคาเพิ่มขึ้นชั่วคราวในระหว่างเทรนด์ขาลง (จุดดีด) โดยเข้าซื้อขายโดยคาดการณ์ว่าเทรนด์ขาลงจะยังคงดำเนินต่อไป จุดขายเมื่อดีดคือบริเวณแนวต้านของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หรือเส้นแนวโน้ม
จังหวะการเข้าซื้อขาย
ในกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ เงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการเข้าซื้อขายคือทิศทางของเทรนด์ต้องชัดเจน ด้านล่างนี้สรุปจังหวะการเข้าซื้อขายโดยใช้ตัวชี้วัดหลัก ๆ
- การตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
Golden Cross (เส้นระยะสั้นตัดขึ้นเหนือเส้นระยะยาว) และ Dead Cross (เส้นระยะสั้นตัดลงใต้เส้นระยะยาว) ของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้การกลับตัวของเทรนด์ เมื่อเกิด Golden Cross ในเทรนด์ขาขึ้น ให้ทำการ **”ซื้อ”** และเมื่อเกิด Dead Cross ในเทรนด์ขาลง ให้ทำการ **”ขาย”** - สัญญาณ MACD
เมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal ถือเป็นจังหวะการเข้า **”ซื้อ”** เพราะบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของเทรนด์ขาขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อเส้น MACD ตัดลงใต้เส้น Signal ถือเป็นจังหวะการเข้า **”ขาย”** นอกจากนี้ ตำแหน่งเมื่อเทียบกับเส้นศูนย์ก็มีความสำคัญ โดยเหนือเส้นศูนย์หมายถึงเทรนด์ขาขึ้น และใต้เส้นศูนย์หมายถึงเทรนด์ขาลง - Breakout ของ Bollinger Bands
หากราคาทะลุขึ้นไปเหนือเส้นบนของ Bollinger Bands อาจเป็นสัญญาณการเริ่มต้นของเทรนด์ขาขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะการเข้าซื้อขาย ในทางกลับกัน หากราคาทะลุลงไปใต้เส้นล่าง อาจเป็นสัญญาณการเริ่มต้นของเทรนด์ขาลง จึงเข้า **”ขาย”**
จังหวะการออก (Exit)
การออก (การปิดตำแหน่ง) ก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์เช่นกัน จำเป็นต้องมองหาการกลับตัวหรือความอ่อนแอของเทรนด์ และทำกำไรในจังหวะที่เหมาะสม
- จุดที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตัดกัน
ตรงกันข้ามกับจังหวะการเข้าซื้อขาย ตัวอย่างเช่น ในช่วงเทรนด์ขาขึ้น หากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นตัดลงใต้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว จะถือเป็นสัญญาณการออกเพราะเป็นไปได้ว่าเทรนด์สิ้นสุดลงแล้ว - การกลับสัญญาณของ MACD
หากเส้น MACD ตัดลงใต้เส้น Signal ถือว่าเทรนด์อ่อนแอลง และเป็นจังหวะการออกเพื่อทำกำไร ในทำนองเดียวกัน หาก MACD อยู่ต่ำกว่าเส้นศูนย์ ก็เป็นสัญญาณของเทรนด์ขาลงซึ่งเป็นจังหวะการทำกำไร - การหดตัวของ Bollinger Bands (Squeeze)
หาก Bollinger Bands หดตัว (แคบลง) แสดงว่าความผันผวนของตลาดลดลง และอาจเปลี่ยนเป็นตลาดแบบ Sideways ในสถานการณ์เช่นนี้ เทรนด์จะอ่อนแอลง จึงเป็นจังหวะที่ควรพิจารณาการออก
สามารถใช้เทคนิคเหล่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ให้ได้สูงสุด
5. เครื่องมือและตัวชี้วัดที่เป็นประโยชน์สำหรับการลงทุนตามเทรนด์
เพื่อให้กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ประสบความสำเร็จ เครื่องมือและตัวชี้วัดที่ใช้ในการระบุทิศทางและความแข็งแกร่งของเทรนด์อย่างถูกต้องนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ในที่นี้จะแนะนำตัวชี้วัดและเครื่องมือทั้งแบบฟรีและเสียเงินที่มีประโยชน์สำหรับการลงทุนตามเทรนด์โดยเฉพาะ พร้อมอธิบายคุณสมบัติและวิธีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพของแต่ละตัว
ตัวชี้วัดการลงทุนตามเทรนด์ที่ใช้งานได้ฟรี
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average, MA)
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นตัวชี้วัดที่เป็นพื้นฐานของการลงทุนตามเทรนด์ โดยเฉพาะ EMA 200 วัน และ SMA 20 วัน เป็นที่นิยมใช้กันมาก เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทำให้มองเห็นกระแสราคาได้ง่าย และมีประโยชน์ในการระบุความแข็งแกร่งของเทรนด์และจุดกลับตัว เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่เทรดเดอร์จำนวนมากใช้ มักจะมีอยู่ในแพลตฟอร์มการเทรด Forex และหุ้น ทำให้สามารถใช้งานได้ง่าย - MACD (Moving Average Convergence Divergence)
MACD เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการยืนยันทิศทางของเทรนด์และมองหาจังหวะที่เหมาะสม การตัดกันของเส้น MACD และเส้น Signal โดยใช้เส้นศูนย์เป็นพื้นฐานจะกลายเป็นสัญญาณการเข้าและออก ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อเทรนด์ระยะกลางถึงระยะยาว จึงเหมาะสำหรับตลาดที่มีความผันผวนรายวันสูงเช่นกัน - Bollinger Bands
Bollinger Bands เป็นตัวชี้วัดที่แสดงภาพความผันผวนของราคา และมีประโยชน์ในการระบุความแข็งแกร่งของเทรนด์และจังหวะที่เทรนด์กำลังจะเกิดขึ้น หากราคาทะลุเส้นบนหรือเส้นล่างของ Bollinger Bands ถือเป็นการเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่ และยังสามารถใช้เป็นจุดเข้าและออกได้อีกด้วย - การนับคลื่นเอลเลียต (Elliott Wave Count)
คลื่นเอลเลียตเป็นวิธีวิเคราะห์รูปร่างคลื่นที่เกิดขึ้นเมื่อเทรนด์กำลังเกิดขึ้น และมีประโยชน์ในการระบุจุดสำคัญของการลงทุนตามเทรนด์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในตลาด Forex คลื่นเอลเลียตถูกใช้เพื่อระบุเทรนด์ระยะยาว แต่ก็มีประโยชน์เป็นข้อมูลอ้างอิงในการตัดสินใจจังหวะการเข้าซื้อขายเช่นกัน
ตัวชี้วัดและเครื่องมือแบบเสียเงิน
- เครื่องมือ Order Book (เช่น OANDA Order Book)
Order Book เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทำความเข้าใจสถานการณ์คำสั่งซื้อขายของตลาดแบบเรียลไทม์ และใช้ในการคาดการณ์การเกิดและการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามารถมองเห็นแนวโน้มการซื้อขายของเทรดเดอร์รายอื่นและจุดที่มีตำแหน่งการซื้อขายกระจุกตัว ซึ่งทำให้สามารถระบุสัญญาณเริ่มต้นของเทรนด์ใหญ่ได้ง่ายขึ้นและเข้ากันได้ดีกับกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์
OANDAオーダーブックのウィジェットは、OANDAグループの顧客が保有する未決済注文 (つまり、未決済の指値/逆指値注…
ด้วยการใช้เครื่องมือนี้ สามารถเข้าใจทิศทางและความแข็งแกร่งของเทรนด์ได้อย่างถูกต้องและทำให้การเทรดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
6. สรุปและคำแนะนำ
กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์เป็นวิธีที่เรียบง่ายแต่สามารถจับเทรนด์ใหญ่ของตลาดเพื่อมุ่งหวังผลกำไรที่มั่นคงได้ ซึ่งมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะเมื่อเทรนด์ดำเนินไปเป็นเวลานาน ทำให้เทรดเดอร์สามารถถือครองตำแหน่งตามทิศทางของตลาดได้ง่ายขึ้น จึงได้รับการสนับสนุนจากเทรดเดอร์จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การลงทุนตามเทรนด์ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมีข้อควรจำและทัศนคติบางอย่าง ในส่วนนี้จะสรุปคำแนะนำในการนำกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ไปใช้จริง
จุดสำคัญเพื่อให้กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ประสบความสำเร็จ
- ระบุความแข็งแกร่งและระยะเวลาของเทรนด์
ในกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ สิ่งสำคัญคือการระบุว่าตลาดเข้าสู่เทรนด์จริงหรือไม่ เพื่อระบุเทรนด์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น ควรใช้ตัวชี้วัดเช่นเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่, Bollinger Bands และ MACD ร่วมกัน นอกจากนี้ การใช้คลื่นเอลเลียตและเส้นแนวโน้มก็สามารถช่วยระบุจุดกลับตัวของเทรนด์ได้ - ยึดกฎการเข้าและออกอย่างเคร่งครัด
กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ต้องอาศัยความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อความแข็งแกร่งของเทรนด์ การยึดมั่นในกฎการเข้าและออกที่กำหนดไว้ล่วงหน้าก่อนการเทรดโดยไม่ตัดสินใจตามอารมณ์ จะช่วยให้สามารถทำกำไรและลดการขาดทุนได้ ตัวอย่างเช่น กำหนดกฎว่าจะออกเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เกิด Dead Cross หรือเมื่อสัญญาณ MACD กลับตัว และยึดมั่นในกฎนั้นอย่างเคร่งครัด - ระวังตลาดแบบ Sideways
การลงทุนตามเทรนด์เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตลาดที่มีเทรนด์ และควรระวังเพราะไม่ค่อยได้ผลในตลาดแบบ Sideways ในตลาดแบบ Sideways การเข้าและออกบ่อยครั้งอาจเพิ่มภาระค่าธรรมเนียมได้ ดังนั้น การแยกแยะระหว่างตลาดแบบ Sideways และตลาดที่มีเทรนด์จึงเป็นสิ่งสำคัญ หากเป็นตลาดแบบ Sideways ควรหยุดการลงทุนตามเทรนด์หรือเปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์ที่เน้นการทำ Breakout แทน - อย่าใช้เครื่องมือและตัวชี้วัดมากเกินไป
มีตัวชี้วัดและเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการลงทุนตามเทรนด์อยู่มากมาย แต่การใช้ตัวชี้วัดจำนวนมากพร้อมกันอาจทำให้การตัดสินใจซับซ้อนและทำให้พลาดจังหวะไปได้ ควรเน้นตัวชี้วัดพื้นฐาน เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่, Bollinger Bands และ MACD และยึดมั่นในกลยุทธ์ที่เรียบง่าย ควรใช้เครื่องมือที่เทรดเดอร์จำนวนมากเชื่อถือเพียงไม่กี่อย่าง และเทรดโดยไม่พึ่งพาเครื่องมือมากเกินไป - รักษาเสถียรภาพทางจิตใจ
กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ต้องอาศัยการถือครองตำแหน่งต่อไปในช่วงที่เทรนด์ดำเนินอยู่ มักจะเกิดความต้องการที่จะทำกำไรแต่เนิ่น ๆ เมื่อกำไรเพิ่มขึ้น หรือลังเลที่จะ Stop Loss เมื่อเทรนด์เริ่มกลับตัว ซึ่งอารมณ์เหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการเทรดได้ การยึดมั่นในกฎการเทรดจะช่วยให้สามารถเทรดได้โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์และรักษาเสถียรภาพทางจิตใจไว้ได้
เพียงเท่านี้ การอธิบายกลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว ขอให้มุ่งหวังผลลัพธ์ที่มั่นคงด้วยการระบุเทรนด์ของตลาด ไม่ตัดสินใจตามอารมณ์ และใช้กลยุทธ์การลงทุนตามเทรนด์ที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ
เว็บไซต์อ้างอิง
自動売買システム の魅力と利点を徹底解説。 先物 、 株式 、 仮想通貨 、特に 外国為替(FX) 市場での活用方法や利…
トレンドフォローとは、トレンド方向に沿ってトレードすることです。上昇トレンド中は買い、下落トレンド中は売りでトレードを行…