RSI คืออะไร? วิธีใช้และกลยุทธ์การเทรดด้วย Relative Strength Index (RSI)

※記事内に広告を含む場合があります。

RSI (Relative Strength Index) เป็นหนึ่งในอินดิเคเตอร์ที่สำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค นักลงทุนและเทรดเดอร์สามารถใช้ RSI เพื่อทำความเข้าใจสภาวะตลาดว่าร้อนแรงเกินไปหรือไม่ และตัดสินใจจังหวะการซื้อขายที่เหมาะสม ในบทความนี้ เราจะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับคำจำกัดความและคุณสมบัติของ RSI, วิธีการดูและการใช้งาน รวมถึงกลยุทธ์การเทรดที่นำไปใช้ได้จริง การใช้ RSI อย่างชาญฉลาดจะช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

目次

1. RSI คืออะไร? คำจำกัดความและคุณสมบัติ

ภาพรวมของ RSI

RSI (Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการลงทุนในตลาด RSI ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจสภาวะตลาดว่าร้อนแรงเกินไปหรือไม่ และใช้ในการตัดสินใจจังหวะการซื้อขาย ค่าของ RSI จะแสดงผลในช่วง 0 ถึง 100 และสามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งและทิศทางของเทรนด์ตลาดได้

วิธีการคำนวณ RSI

RSI คำนวณจากความผันผวนของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปจะใช้ข้อมูลในช่วง 14 วัน และคำนวณด้วยสูตรดังนี้:

จากการคำนวณนี้ หากค่า RSI สูง แสดงว่าตลาดอยู่ในสภาวะกระทิง (Bullish) และหากค่าต่ำ แสดงว่าตลาดอยู่ในสภาวะหมี (Bearish) โดยทั่วไปแล้ว หากค่า RSI เกิน 70 ถือเป็นสภาวะ “ซื้อมากเกินไป” (Overbought) และหากต่ำกว่า 30 ถือเป็นสภาวะ “ขายมากเกินไป” (Oversold)

คุณสมบัติของ RSI

ลักษณะของ Oscillator

RSI เป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator จึงมีความไวต่อการเคลื่อนไหวของตลาด คุณสมบัตินี้ทำให้ RSI มีประสิทธิภาพสูงในการทำความเข้าใจแนวโน้มระยะสั้นของตลาด นอกจากนี้ยังสามารถให้สัญญาณที่แข็งแกร่งในการใช้กลยุทธ์การเทรดแบบสวนเทรนด์ โดยเฉพาะในช่วงตลาด Sideway

ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการตอบสนองที่ล่าช้า

ในทางกลับกัน RSI อาจให้สัญญาณที่ผิดพลาดเมื่อราคาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ตามหลังการเคลื่อนไหวของราคา ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนใช้ RSI ร่วมกับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อการวิเคราะห์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น

ค่าขีดจำกัดที่บ่งชี้สัญญาณ

การใช้ RSI โดยทั่วไปจะวิเคราะห์จากค่าขีดจำกัด เช่น 70 ขึ้นไปสำหรับสภาวะ “ซื้อมากเกินไป” และต่ำกว่า 30 สำหรับ “ขายมากเกินไป” ค่าเหล่านี้อิงจากประสบการณ์และเทรดเดอร์จำนวนมากใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการตัดสินใจซื้อขาย เมื่อ RSI ทะลุผ่านเส้นเหล่านี้ ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงจุดเปลี่ยนของตลาด

ข้อควรระวังในการใช้งาน

RSI ไม่สามารถรับประกันอัตราการชนะที่สูงได้เสมอไป เนื่องจากตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำหรือได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอกได้ง่าย ดังนั้นในการวางแผนกลยุทธ์การเทรด สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ควบคู่ไปกับสัญญาณจาก RSI เช่น สถานการณ์ตลาดและข่าวสารที่เกี่ยวข้อง

2. วิธีดูและใช้งาน RSI

RSI (Relative Strength Index) เป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่ใช้เพื่อตัดสินสภาวะตลาดว่าร้อนแรงเกินไปหรือไม่ หรืออยู่ในสภาวะ Overbought/Oversold ในบทความนี้จะอธิบายวิธีการดูและใช้งาน RSI อย่างมีประสิทธิภาพ

2.1 วิธีการอ่านค่า RSI

ค่า RSI จะเคลื่อนไหวในช่วง 0% ถึง 100% โดยทั่วไปจะอ่านค่าดังนี้:

  • 70% ขึ้นไป: สภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) เมื่อค่าเกินระดับนี้ มีแนวโน้มสูงที่ตลาดจะกลับตัว
  • 30% ลงไป: สภาวะขายมากเกินไป (Oversold) เมื่อค่าต่ำกว่าระดับนี้ มีสัญญาณว่าตลาดอาจจะเริ่มปรับตัวขึ้น

จากข้อมูลนี้ เทรดเดอร์สามารถหาจุดเข้า (Entry Point) สำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบสวนเทรนด์ได้

2.2 การประยุกต์ใช้ RSI ในการเทรด

RSI ส่วนใหญ่จะใช้ในสองกลยุทธ์หลัก:

2.2.1 กลยุทธ์สวนเทรนด์ (Counter-trend)

คุณสามารถพิจารณาเปิด Short Position เมื่อค่า RSI สูงกว่า 70% และเปิด Long Position เมื่อค่า RSI ต่ำกว่า 30% กลยุทธ์สวนเทรนด์นี้มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในตลาด Sideway แต่ควรระวัง “สัญญาณหลอก” ที่อาจเกิดขึ้นในตลาดที่มีเทรนด์ชัดเจน

2.2.2 กลยุทธ์ตามเทรนด์ (Trend-following)

การใช้ RSI เพื่อตามเทรนด์ก็สามารถทำได้โดยการสังเกตเส้น 50% หากค่า RSI สูงกว่า 50% ถือเป็นแนวโน้มขาขึ้น และหากต่ำกว่า 50% ถือเป็นแนวโน้มขาลง ซึ่งเป็นจุดที่สามารถพิจารณาเข้าซื้อขายได้ วิธีนี้มีประสิทธิภาพเมื่อตลาดมีเทรนด์ที่แข็งแกร่ง

2.3 การทำความเข้าใจ RSI ด้วยภาพ

แพลตฟอร์มการเทรดส่วนใหญ่สามารถแสดง RSI ในหน้าต่างย่อย (Sub-window) ซึ่งช่วยให้คุณสามารถสังเกตการเคลื่อนไหวของ RSI ควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวของราคาได้แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถพิจารณาจุดเข้าและออก (Exit) ได้ง่ายขึ้น

2.4 การใช้ RSI และ Divergence

Divergence ที่ใช้ร่วมกับ RSI เป็นสัญญาณการเทรดที่ทรงพลังมาก เมื่อราคาสร้างจุดสูงสุดหรือต่ำสุดใหม่ แต่ RSI ไม่ได้ทำตาม อาจตีความได้ว่าเป็นสัญญาณของการกลับตัวของตลาด สถานการณ์เช่นนี้ควรได้รับการสังเกตอย่างระมัดระวังและใช้ในการตัดสินใจจังหวะการซื้อขายอย่างรอบคอบ

2.5 การตั้งค่า RSI

การตั้งค่า RSI มาตรฐานคือ 14 วัน แต่คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์การเทรดและสถานการณ์ตลาด ตัวอย่างเช่น สำหรับการเทรดระยะสั้น คุณอาจตั้งค่าเป็น 7 หรือ 9 วัน เพื่อให้ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของราคาได้เร็วขึ้น ในทางกลับกัน สำหรับการเน้นเทรนด์ระยะยาว คุณอาจลองตั้งค่า 21 วันขึ้นไป

การใช้ RSI อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความหมายของค่าต่างๆ และสถานการณ์ตลาดอย่างถ่องแท้ รวมถึงหาวิธีการใช้งานที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ

【ภาพ】MT4 RSI

3. กลยุทธ์พื้นฐานในการเทรดด้วย RSI

วิธีการเทรดที่ใช้ RSI (Relative Strength Index) เป็นหลักสามารถแบ่งออกเป็น 2 สถานการณ์หลักคือ ตลาด Sideway และตลาดมีเทรนด์ การทำความเข้าใจและนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปใช้จะช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในบทความนี้จะอธิบายกลยุทธ์พื้นฐานและวิธีการนำไปใช้จริง

3.1 กลยุทธ์สวนเทรนด์ในตลาด Sideway

ในตลาด Sideway ที่ราคาเคลื่อนไหวในกรอบที่จำกัด กลยุทธ์สวนเทรนด์จะมีประสิทธิภาพสูง วิธีนี้ใช้ RSI เพื่อวัดสภาวะที่ตลาดร้อนแรงเกินไปและค้นหาจุดเข้าที่เหมาะสม

  • สัญญาณขาย: เมื่อ RSI สูงกว่า 70% ตลาดจะถูกตัดสินว่าอยู่ในสภาวะ “ซื้อมากเกินไป” เมื่อ RSI ทะลุลงต่ำกว่า 70% มีความเป็นไปได้สูงที่ราคาจะมีการปรับตัวลง ซึ่งถือเป็นโอกาสในการเข้าขาย (Sell entry)

  • สัญญาณซื้อ: ในทางกลับกัน เมื่อ RSI ต่ำกว่า 30% ตลาดจะถูกพิจารณาว่า “ขายมากเกินไป” เมื่อ RSI ทะลุขึ้นเหนือ 30% คาดว่าราคาจะดีดตัวขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณสำหรับการเข้าซื้อ (Buy entry)

3.2 กลยุทธ์ตามเทรนด์ในตลาดที่มีเทรนด์

ในตลาดที่มีเทรนด์ชัดเจน เราสามารถใช้ RSI เพื่อยืนยันทิศทางของเทรนด์และใช้กลยุทธ์ตามเทรนด์ได้ กลยุทธ์นี้มีประสิทธิภาพในการสร้างโอกาสในการซื้อขายโดยการติดตาม RSI ในช่วงที่ตลาดเป็นเทรนด์ขาขึ้นหรือขาลง

  • การเข้าซื้อในเทรนด์ขาขึ้น: อันดับแรก ให้สังเกตเส้นแนวต้าน (Resistance line) ของ RSI เมื่อ RSI ทะลุเหนือเส้นนี้ ถือเป็นสัญญาณการเกิดเทรนด์ขาขึ้น และเป็นจุดที่ควรพิจารณาเข้าซื้อ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ควรใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่นๆ

  • การเข้าขายในเทรนด์ขาลง: ในทางกลับกัน เมื่อ RSI ทะลุต่ำกว่าเส้นแนวรับ (Support line) เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นเทรนด์ขาลง ในกรณีนี้ควรพิจารณาเข้าขาย สิ่งสำคัญคือการติดตามว่าเทรนด์จะดำเนินต่อไปหรือไม่ และทำการทำกำไรอย่างเหมาะสม

3.3 การเทรดโดยใช้ Divergence

Divergence คือปรากฏการณ์ที่การเคลื่อนไหวของ RSI และราคาไม่สอดคล้องกัน ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ถึงการกลับตัวของเทรนด์ การใช้สัญญาณนี้ช่วยให้เราสามารถจับจังหวะการเข้าซื้อขายได้

  • Bullish Divergence: หากราคาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ แต่ RSI ไม่ได้สร้างจุดต่ำสุดใหม่ตาม ถือเป็น Bullish Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแรงขายกำลังอ่อนตัวลงและมีโอกาสที่จะมีการดีดตัวขึ้น

  • Bearish Divergence: ในทางกลับกัน หากราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่ แต่ RSI ไม่ได้สร้างจุดสูงสุดใหม่ตาม ถือเป็น Bearish Divergence ซึ่งบ่งชี้ว่าเทรนด์ขาขึ้นกำลังจะสิ้นสุดลงและควรเตรียมตัวสำหรับการเข้าขาย

3.4 ความสำคัญของการตัดขาดทุน (Stop-loss) และการบริหารความเสี่ยง

ในการเทรดที่ใช้ RSI ควรตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop-loss) และบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง สัญญาณจาก RSI อาจไม่ถูกต้องเสมอไป จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการเทรด

หากราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คาดการณ์ไว้ การปิดสถานะโดยอัตโนมัติ ณ จุดที่ตั้งไว้ จะช่วยป้องกันการขาดทุนจำนวนมากได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถเทรดได้อย่างสบายใจมากยิ่งขึ้น

4. วิธีการใช้ RSI ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ

RSI (Relative Strength Index) เป็นอินดิเคเตอร์ที่มีประโยชน์มากด้วยตัวเอง แต่เมื่อใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้นได้ ในบทความนี้จะอธิบายวิธีการใช้ RSI ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ อย่างละเอียด

4.1 การใช้ร่วมกับ MACD

MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดความแข็งแกร่งของเทรนด์ การใช้ RSI ร่วมกับ MACD จะช่วยเพิ่มความแม่นยำของสัญญาณได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อ RSI เกิน 70% และ MACD ชี้ลง ถือเป็นสัญญาณขาย ในทางกลับกัน เมื่อ RSI ต่ำกว่า 30% และ MACD ชี้ขึ้น ถือเป็นสัญญาณซื้อ การยืนยันสัญญาณจากทั้งสองอินดิเคเตอร์พร้อมกันจะช่วยให้การระบุจุดเข้าทำได้ง่ายขึ้น

4.2 การใช้ร่วมกับ Bollinger Bands

Bollinger Bands เป็นอินดิเคเตอร์ที่แสดงความผันผวนของราคา การใช้ RSI ร่วมกับ Bollinger Bands จะช่วยให้เราสามารถตัดสินความร้อนแรงของตลาดและการเคลื่อนไหวของราคาได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อ RSI ต่ำกว่า 30% และราคาแตะขอบล่างของ Bollinger Bands ถือเป็นสัญญาณซื้อ การใช้ร่วมกันเช่นนี้จะช่วยให้สามารถเข้าซื้อขายได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

4.3 การใช้ร่วมกับ Moving Average

Moving Average (MA) เป็นอินดิเคเตอร์พื้นฐานที่ใช้ในการทำความเข้าใจเทรนด์ การใช้ RSI ร่วมกับ MA จะช่วยยืนยันเทรนด์และจำกัดจังหวะการเข้าซื้อขายได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อราคาสูงกว่า MA และ RSI เกิน 60% ถือว่าเทรนด์ขาขึ้นยังคงอยู่และควรพิจารณาเปิด Long Position ในทางกลับกัน เมื่อราคาต่ำกว่า MA และ RSI ต่ำกว่า 40% ถือเป็นสัญญาณที่ควรเลือกเปิด Short Position

4.4 การใช้ร่วมกับ Stochastic Oscillator

Stochastic Oscillator เป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่ใช้ตัดสินสภาวะ Overbought/Oversold การใช้ RSI ร่วมกับ Stochastic จะช่วยสร้างสัญญาณการเทรดที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น หากทั้งสองอินดิเคเตอร์แสดงสัญญาณ Overbought พร้อมกัน มีแนวโน้มสูงที่ราคาจะกลับตัว ซึ่งถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าทำ

4.5 การฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนความรู้

การทดลองใช้ RSI ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ เป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มพูนประสบการณ์ คุณสามารถใช้ Backtest เพื่อทดสอบว่าการผสมผสานแบบใดที่เหมาะสมกับสไตล์ของคุณมากที่สุด การทดลองเทรดในบัญชีทดลอง (Demo) โดยไม่มีความเสี่ยงก็เป็นวิธีที่ดีในการลองใช้การผสมผสานที่หลากหลาย

ดังนั้น RSI แม้จะใช้งานได้ดีด้วยตัวเอง แต่เมื่อใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ จะกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ค้นหาการผสมผสานที่เหมาะสมกับคุณและขยายขอบเขตกลยุทธ์การเทรดของคุณ

5. การตั้งค่าและการปรับ RSI

เพื่อให้ RSI (Relative Strength Index) มีประสิทธิภาพสูงสุด การตั้งค่าและปรับพารามิเตอร์เป็นสิ่งสำคัญ ในบทความนี้จะอธิบายแนวทางปฏิบัติและข้อควรระวังในการตั้งค่า RSI

5.1 การตั้งค่าเริ่มต้น

การตั้งค่าเริ่มต้นของ RSI ที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ 14 วัน การตั้งค่านี้ถูกแนะนำโดย J.W. Wilder และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่เหมาะสมอาจแตกต่างกันไปตามสไตล์การเทรดและกรอบเวลา (Time frame) ที่ใช้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ

ตัวอย่างการแนะนำ:

  • สำหรับการเทรดระยะสั้น (Scalping, Day trading) แนะนำให้ใช้ RSI ที่มีช่วงเวลา 9 หรือ 5 วัน
  • สำหรับการเทรดระยะยาว (Swing trading, Position trading) ควรพิจารณา RSI ที่มีช่วงเวลา 22 หรือ 42 วัน

5.2 การตั้งค่าค่าขีดจำกัด (Threshold) ที่สำคัญ

โดยทั่วไปแล้ว ค่าขีดจำกัดของ RSI ที่ใช้กันคือ 70% และ 30% เพื่อบ่งชี้ถึงแรงซื้อและแรงขายที่มากเกินไป อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ที่ต้องการให้ RSI ตอบสนองได้ไวกว่าอาจตั้งค่าขีดจำกัดเป็น 60% และ 40% การทำเช่นนี้จะช่วยให้สามารถระบุจังหวะการเข้าและออกได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

5.3 การปรับแต่งทางสายตา

การปรับสีและความหนาของเส้น RSI จะช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการใช้สีที่แตกต่างกันสำหรับเทรนด์ขาขึ้นและขาลงเป็นสิ่งที่ควรทำ คุณสามารถปรับแต่งสีและสไตล์ได้จากเมนูการตั้งค่าของแพลตฟอร์มการเทรด

ตัวอย่างการปรับแต่ง:

  • เทรนด์ขาขึ้น: เลือกใช้เส้นสีเขียว
  • เทรนด์ขาลง: เลือกใช้เส้นสีแดง

5.4 การตั้งค่าการแจ้งเตือน (Alert)

เมื่อใช้ RSI ในการเทรด ควรใช้ฟังก์ชันการแจ้งเตือนอย่างเต็มที่ การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณตอบสนองได้ทันทีเมื่อ RSI ถึงระดับราคาที่กำหนด โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มเช่น MT4 และ MT5 ที่สามารถตั้งค่าให้มีการแจ้งเตือนเมื่อค่า RSI ถึงระดับขีดจำกัดหรือเมื่อเส้นทะลุผ่านระดับที่กำหนดได้

5.5 การทบทวนเป็นประจำ

การทบทวนการตั้งค่า RSI ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในตลาดที่มีเทรนด์ชัดเจน ควรลดช่วงเวลาการตั้งค่าลงเพื่อให้ RSI ตอบสนองได้เร็วขึ้น ในทางกลับกัน ในตลาด Sideway การตั้งค่าช่วงเวลาให้ยาวขึ้นเล็กน้อยอาจช่วยลดสัญญาณที่ผิดพลาดได้

การทดสอบอย่างสม่ำเสมอ

ขอแนะนำให้คุณทบทวนผลการเทรดของคุณเป็นประจำและตรวจสอบว่าการตั้งค่า RSI ของคุณเหมาะสมที่สุดหรือไม่ การทดสอบและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณค้นพบวิธีใช้ RSI ที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง

สรุป

RSI เป็นอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุน แต่การใช้เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การใช้ RSI ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ จะช่วยให้คุณได้รับสัญญาณการเทรดที่แม่นยำยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญคือการพิจารณาองค์ประกอบต่างๆ เช่น การตั้งค่าและการปรับ RSI รวมถึงการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับสไตล์การเทรดของตัวเอง การทดสอบและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณค้นพบวิธีการใช้ RSI ที่เหมาะสมที่สุด และสามารถสร้างกลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จาก RSI ได้อย่างเต็มที่เพื่อผลการเทรดที่ดีขึ้น

คำถามที่พบบ่อย

RSI คืออะไร?

RSI (Relative Strength Index) เป็นอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อแสดงสภาวะจิตวิทยาของนักลงทุนในตลาด ค่าของ RSI จะอยู่ในช่วง 0 ถึง 100 หากค่าสูง แสดงว่าตลาดอยู่ในสภาวะ Overbought และหากค่าต่ำ แสดงว่าอยู่ในสภาวะ Oversold นักลงทุนสามารถใช้ค่าเหล่านี้ในการตัดสินใจจังหวะการซื้อขาย

RSI มีวิธีการใช้อย่างไร?

RSI ส่วนใหญ่จะใช้ในสองกลยุทธ์หลัก หนึ่งคือกลยุทธ์สวนเทรนด์ โดยการขายเมื่อ RSI เกิน 70% และซื้อเมื่อต่ำกว่า 30% อีกกลยุทธ์หนึ่งคือการตามเทรนด์ โดยการตัดสินใจซื้อเมื่อ RSI ทะลุเหนือเส้น 50% และขายเมื่อทะลุต่ำกว่าเส้น 50% นักลงทุนจะผสมผสานเทคนิคเหล่านี้เข้ากับการใช้ Divergence ร่วมกับ RSI เพื่อสร้างกลยุทธ์การเทรดของตัวเอง

การใช้ RSI ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นมีประโยชน์อย่างไร?

ถึงแม้ว่า RSI จะสามารถใช้ได้เพียงอย่างเดียว แต่เมื่อใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น MACD, Bollinger Bands หรือ Moving Average จะช่วยเพิ่มความแม่นยำของสัญญาณได้ เมื่อมีสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ตั้งแต่สองตัวขึ้นไปเกิดขึ้นพร้อมกัน จะถือเป็นจุดเข้าที่มีความน่าเชื่อถือสูงกว่า การค้นหาการผสมผสานที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ควรปรับการตั้งค่า RSI อย่างไร?

การตั้งค่า RSI มาตรฐานคือ 14 วัน แต่คุณควรเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ สำหรับการเทรดระยะสั้น อาจใช้ช่วงเวลา 9 หรือ 5 วัน ส่วนการเทรดระยะยาว อาจใช้ 22 หรือ 42 วัน นอกจากนี้คุณยังสามารถปรับแต่งค่าขีดจำกัดจาก 70% และ 30% เป็น 60% และ 40% ได้ตามความชอบ การทบทวนการตั้งค่าอย่างสม่ำเสมอตามสถานการณ์ตลาดก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

※記事内に広告を含む場合があります。
佐川 直弘: MetaTraderを活用したFX自動売買の開発で15年以上の経験を持つ日本のパイオニア🔧

トレーデンシー大会'15世界1位🥇、EA-1グランプリ準優勝🥈の実績を誇り、ラジオ日経出演経験もあり!
現在は、株式会社トリロジーの役員として活動中。
【財務省近畿財務局長(金商)第372号】に登録
され、厳しい審査を経た信頼性の高い投資助言者です。


【主な活動内容】
・高性能エキスパートアドバイザー(EA)の開発と提供
・最新トレーディング技術と市場分析の共有
・FX取引の効率化と利益最大化を目指すプロの戦略紹介

トレーダー向けに役立つ情報やヒントを発信中!

This website uses cookies.